|
ความหมาย
ในส่วนความหมาย
จะเป็นการอธิบายคำศัพท์ 2 คำ คือ ระบบ (System) และระบบสารสนเทศ
(Information System ) มีรายละเอียดดังนี้
1.ระบบ หมายถึง
กลุ่มของสิ่งซึ่งมีลักษณะประสานเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน ตามหลักแห่งความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกันด้วยระเบียบของธรรมชาติหรือหลักเหตุผลทางวิชาการ
เช่น ระบบสังคม ระบบการบริหารประเทศ
2.ระบบสารสนเทศ หมายถึง เซต
หรือการรวมตัวของกระบวนการหลายกระบวนการ สำหรับงานด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล
การประมวลผลเพื่อปรับรูปแบบของข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ ตลอดจนการกระจายสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลสู่ผู้ใช้ระบบเพื่อใช้สำหรับการตัดสินใจ
แบบจำลองระบบสารสนเทศ
1.ผู้ใช้ขั้นปลาย
ผู้ใช้ขั้นปลาย
(End Users) ก็คือ
ผู้ใช้สารสนเทศที่อยู่ภายในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกธุรกิจ
ซึ่งมีความต้องการใช้สารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลของระบบสารสนเทศแบ่งออกเป็น
2 กลุ่ม คือ
1.ผู้ใช้ภายนอก คือ ผู้ใช้ที่ประกอบด้วยเจ้าหนี้เงินกู้
ผู้ถือหุ้น นักลงทุนตัวแทนหรือนายหน้า เป็นต้น
2.ผู้ใช้ภายนอก คือ
ผู้บริหารระดับต่างๆ ขององค์การ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติการด้านต่างๆ
โดนยทำการกำหนดรูปแบบของรายงานตามความต้องการของผู้ใช้
2. ต้นทางข้อมูล
ต้นทางข้อมูล (Data
Sources)หรือแหล่งข้อมูล คือ
ธุรกรรมทางเงินที่นำเข้าสู่ระบบสารสนเทศประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วนดังนี้
1.ต้นทางข้อมูลภายนอก คือ
ธุรกรรมทางการเงินที่ได้รับจากภายนอกธุรกิจ รวมทั้งข้อมูลการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับหน่วยธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบองค์การหรือธุรกิจส่วนตัว
2.ต้นทางข้อมูลภายใน คือ
ธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยน
หรือความเคลื่อนไหวของทรัพยากรภายในองค์การ
3.การรวบรวมข้อมูล
โดยปกติจะถือการรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนแรกซึ่งมีความสำคัญที่สุดของการดำเนินการภายในระบบสารสนเทศ
โดยเน้นวัตถุประสงค์ด้านการรับข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล ครบถ้วนสมบูรณ์ และปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ
ทั้งสิ้น โดยมีการสร้างระบบป้องกันความผิดพลาดจากการรับข้อมูลเข้าส่งผลให้รายงานที่เป็นผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
4. การประมวลผลข้อมูล
หลังจากที่ทำการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้วจะต้องทำการประมวลผลข้อมูลทั้งในรูปแบบที่ง่ายและรูปแบบที่มีความซับซ้อน
โดยจำแนกการประมวลได้ 2 รูปแบดังนี้
1. การประมวลผลแบบกลุ่ม(Batch Processing)
โดยเก็บรวบรวมเอกสารหรือรายการค้าเป็นกลุ่มก้อนภายในระยะเวลาที่กำหนดหลัง
จากนั้นจึงรับข้อมูลเข้าและปรับยอดแฟ้มข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
มักใช้วิธีการประมวลผลข้อมูลแบบนี้กับรายการที่ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูล ทันที
2. การประมวลผลแบบทันที(Real-time Processing)โดยมีการรับข้อมูลเข้าในทันทีและทำการประมวลผลข้อมูลทันทีในทุกครั้งที่มีรายการค้าเกิดขึ้น
ในบางครั้งอาจจะมีการประมวลผลออนไลน์เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
5. การจัดการฐานข้อมูล
ฐานข้อมูลขององค์การคือ
หน่วยเก็บข้อมูลทางกายภาพสำหรับข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน
อาจถูกจัดเก็บข้อมูลภายในตู้เอกสารหรือในแผ่นจานแม่เหล็ก
ส่วนข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล ประกอบด้วยหน่วยเก็บข้อมูลที่เรียงลำดับจากหน่วยเล็กที่สุดไปหาหน่วยใหญ่ที่สุด
คือ ลักษณะประจำ ระเบียน และแฟ้มข้อมูล
ในส่วนการจัดการฐานข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับงานด้านพื้นฐาน 3 งาน คือ การจัดเก็บ การค้นคืน
และการลบ ข้อมูลในส่วนของการจัดเก็บจะเกี่ยวข้องกับการสร้างกุญแจของข้อมูลใหม่
และจัดเก็บข้อมูลนั้นในตำแหน่งพื้นที่ซึ่งมีความเหมาะสม
6. การก่อกำเนิดสารสนเทศ
การก่อกำเนิดสารสนเทศ
(Information Generation)ประกอบด้วยกระบวนการแปลโปรแกรม
การจัดข้อมูล การกำหนดรูปแบบ รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศต่อผู้ใช้ โดยสารสนเทศที่ได้มักอยู่ในรูปแบบของเอกสารปฏิบัติงาน เช่น ใบสั่งยา รายงาน หรือแม้แต่ข่าวสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นต้น
7. ผลป้อนกลับ
ผลป้อนกลับ (Feedback)จะอยู่ในรูปแบบของรายงานที่เป็นผลลัพธ์ซึ่งถูกส่งกลับไปยังระบบในฐานะของต้นทางของข้อมูลภายในหรือภายนอกก็ได้
อาจถูกนำไปใช้ในฐานะข้อมูลเริ่มต้นหรือข้อมูลสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการ เช่น รายงานแสดงสถานะของสินค้าคงเหลือ
อนึ่ง
หากส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน
มีการรวมตัวกันอย่างเหมาะสมจะสนองตอบวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศได้ 3 ประการดังนี้
1. การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการจัดการ
2. การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการตัดสินใจ
3. การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการปฏิบัติการ
บทบาทของระบบสารสนเทศ
องค์การทางธุรกิจทุกประเภททั้งภาครัฐและเอกชน
ล้วนแต่มีการติดตั้งและใช้งานระบบสารสนเทศอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นระบบ
ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานของบริษัท และถือเป็นส่วนหนึ่งของโซ่คุณค่า
ระบบคุณค่า การสนับสนุนงานขององค์การ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าให้องค์การ ดังนี้
1.โซ่คุณค่า
โซ่คุณค่าประกอบด้วยกิจกรรมหลักของการจัดการต้นทาง
การผลิต และการจัดการตามทาง ในส่วนของการผลิตสินค้าและบริการ
โดยรวมกิจกรรมหลักทั้ง 3ส่วน
มีการทำงานที่สัมพันธ์กันและมุ่งเน้นถึงการเพิ่มคุณค่าหรือความพึงพอใจให้กับลูกค้าในรูปแบบของราคาที่ต่ำ
การบริการหลังการขายที่ดี คุณภาพที่สูง
รวมทั้งความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการมีรายละเอียดดังนี้
1.1 การจัดการต้นทาง ของการบริการจะเกี่ยวข้องกับการจัดการวัตถุดิบในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบ
การติดตามรอยวัตถุดิบในส่วนของโลจิสติกส์ขาเข้า
รวมทั้งการจัดเก็บและควบคุมวัตถุดิบภายในโกดังสินค้าโดยใช้ระบบสารสนเทศด้านการจัดหาวัตถุดิบ
การติดตามรอยวัตถุดิบ และการควบคุมวัตถุดิบคงเหลือ
1.2 การผลิต สำหรับการแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือบริการขั้นสุดท้าย
มีการนำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนการผลิตต่างๆ มาประกอบกันเป็นสินค้าสำเร็จรูป
1.3 การจัดการตามทาง สำหรับการจัดการตามทิศทางการไหลของสินค้าสำเร็จรูปจนถึงปลายทางของการส่งมอบ
ให้ลูกค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยเก็บสินค้าสำเร็จรูป โลจิสติกส์ขาเข้า
การตลาดและการขาย ตลอดจนงานด้านการบริการลูกค้า
มีการใช้ระบบสารสนเทศด้านหน่วยเก็บและค้นคืนสินค้าอัตโนมัติ
ด้านวางแผนกระจายสินค้า ด้านวางแผนกรส่งเสริมการขาย
รวมทั้งด้านการติดตามรอยและการควบคุมงานบริการลูกค้า
2.ระบบคุณค่า
ระบบคุณค่า
จะเป็นการเชื่อมโยงกิจกรรมภายใต้โซ่คุณค่า ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ภายใต้ รูปแบบโซ่อุปทาน โดยการใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อโซ่คุณค่าขององค์การ
กับโซ่คุณค่าขององค์การภายนอกซึ่งเป็นคู่ค้าเข้าด้วยกันมักอาศัยการดำเนินการงานด้านการจัดการ
โซ่อุปทานการจัดการลูกค้า สัมพันธ์เข้าช่วย
ทั้งมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
3. การสนับสนุนงานขององค์การต่างๆ
O brien (2006, p.8)
กล่าวถึงบทบาทของระบบสรสนเทศในส่วนการใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การภายใต้โซ่คุณค่าและระบบคุณค่า 3 ลักษณะดังนี้
3.1 การสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ ในบางครั้งลูกค้าขององค์การจำเป็นต้องมีความเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ
โดยเฉพาะในส่วนการสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ
3.2 การสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศจะให้ความสนับสนุนต่อผู้จัดการร้านค้าและนักธุรกิจมืออาชีพในส่วนของการตัดสินใจที่ดีขึ้น
3.3 การสนับสนุนความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน นอกจากจะมีการใช้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจแล้ว ในบางครั้งการได้รับสารสนเทศที่ดียังมีส่วนช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันเหนือธุรกิจอื่น
4.การเพิ่มมูลค่าให้องค์การ
การใช้ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน
ภายใต้โซ่คุณค่า และระบบคุณค่านั้น ต้องได้รับสารสนเทศที่ถูกต้อง เชื่อถือได้
และทันเวลาที่ผู้จัดการต้องการ ส่วนของประโยชน์พิจารณาได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
1.การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิผล ในระยะนี้องค์การได้มุ่งเน้นการนำสารสนเทศที่ได้รับจากระบบประยุกต์ด้านต่างๆ
มาเป็นข้อมูลเพื่อพัฒนางานหรือปรับปรุงการทำงาน
2.การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ระบบสารสนเทศถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่จะช่วยสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวขององค์การที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน
ทั้งนี้ต้องอาศัยกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยเสริม
3.การจัดการเชิงผลการปฏิบัติงาน ในระยะนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการลดต้นทุน
และการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันแล้ว ยังมีการใช้สารสนเทศร่วมกับมาตรการวัดผลการปฏิบัติงานเพื่อสร้างตัวชี้วัดประสิทธิผล
วิวัฒนาการของระบบสารสนเทศ
ในส่วนนี้จะขอสรุปวิวัฒนาการใช้ระบบสารสนเทศในเริ่มแรกของธุรกิจ จะเป็นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานประจำที่ซ้ำๆ
ภายใต้ธุรกรรมจำนวนมาก ของแต่ละวันทำการมีการใช้ระบบประยุกต์คอมพิวเตอร์ ในรูปแบบของระบบประมวลผลธุรกรรม เพื่อสรุปและจัดโครงสร้างธุรกรรม รวมทั้งข้อมูลทางการบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ที่ส่งผลให้องค์การมีต้นทุนการประมวลผลธุรกรรมต่อหน่วยลดลง
อีกทั้งความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
ในเวลาต่อมา องค์การได้พัฒนาระบบสารสนเทศในรูปแบบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
โดยมีการใช้ระบบเพื่อเข้าถึง จัดโครงสร้าง
สรุปแสดงผลสารสนเทศที่มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจประจำวันภายใต้การทำงานของแผนกงานตามหน้าที่
ยังมีการพัฒนาระบบการสำนักงานอัตโนมัติ ประกอบด้วยระบบการประมวลผล
นำมาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานในสำนักงาน โดยมีการพัฒนาระบบ
ในรูปแบบของวิทยาการหุ่นยนต์
ในเวลาต่อมา ได้มีการขยายขีดความสามารถของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
มีการลดต้นทุนของระบบคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบประยุกต์
เพื่อสนับสนุนงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในรูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
โดยมีการทำงานที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นและมักใช้กับการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ในรูปแบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและด้านผู้ใช้ขั้นปลาย
นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการตัดสินใจใน 2
ทิศทางคือ
1.การพัฒนาระบบสนับสนุนผู้บริหารและระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
2.การพัฒนาระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน
ในที่สุดธุรกิจเกิดความสนใจด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีอัจฉริยะโดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์เชิงพาณิชย์ที่รู้จักกันดีในนามของระบบอัจฉริยะ นวัตกรรมที่วิวัฒนาการมาจากระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงาน คือการพัฒนาโกดังข้อมูล เป็นฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบเฉพาะด้านสำหรับการสนับสนุนการตัดสินใจ
การสนับสนุนผู้บริหารและการวิเคราะห์อื่นๆ
รวมทั้งกิจกรรมของผู้ใช้ขั้นปลาย การใช้โกดังข้อมูล ถือเป็นส่วนหนึ่งระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะธุรกิจ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ในปริมาณมากสำหรับข้อคำถามหรือ การวิเคราะห์โดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
ระบบสนับสนุนผู้บริหาร (อีเอสเอส) และระบบอัจฉริยะภาพ (ไอเอส)
ระบบ สารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงานในองค์การล่าสุด คือ
คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของลูกจ้างเคลื่อนที่เพื่อ การติดต่อประสานงานกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจที่เป็นองค์การภายนอกธุรกิจ
ในลำดับสุดท้ายมีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนงานภายนอกองค์การโดยใช้
รูปแบบของระบบสารสนเทศบนเว็บรวมทั้งระบบเคลื่อนที่
โดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตและเปลี่ยนรูปแบบการค้า
เข้าสู่รูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจซึ่งอนาคตจะมีความเป็นไปได้ว่า
องค์การขนาดกลางและระบบใหญ่จะใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บ โดยมีการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ
เพื่อการสื่อสารความร่วมมือและการเข้าถึงสารสนเทศจำนวนมาก รวมทั้งการดำเนินการและการประมวลผลด้วนวิธีการของระบบสารสนเทศบนเว็บ
สรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบที่แตกต่างกันของระบบสนับสนุนด้านต่างๆมีดังนี้
1. แต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะที่จำแนกได้เป็น 1 ระบบ
2. มีการเชื่อมต่อสายงานด้านสารสนเทศระหว่างระบบต่างๆ
3. ระบบสารสนเทศแต่ละระบบสามารถเชื่อมต่อกันภายใต้รูปแบบของระบบลูกผสม
4. เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์และการประสานงาน
ระหว่างระบบสารสนเทศในรูปแบบที่ต่างกันโดยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและในอนาคต
รูปแบบความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปก็อาจเป็นได้
การจำแนกประเภทระบบสารสนเทศ
การจำแนกระบบสารสนเทศโดยใช้เกณฑ์ระดับขององค์การ
มีการจักโครงสร้างตามลำดับชั้นที่ประกอบด้วยระบบย่อยหลายระบบจากล่างขึ้นบน เป็น 3
ประเภท ดังนี้
1.ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน
ในส่วนระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานเป็นการรองรับการทำงานของแผนกต่างๆ
ซึ่งจำแนกความรับผิดชอบตามหน้าที่งานขององค์การ อาทิเช่น
หน้าที่งานด้านการจัดการและการตัดสินใจ หน้าที่งานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ หน้าที่ด้านการผลิตและการดำเนินงาน
หน้าที่ด้านการตลาด หน้าที่งานด้านการเงินและหน้าที่งานด้านบัญชี เป็นต้น
2. ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
ในขณะที่ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งานจะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกงาน
ระบบสารสนเทศวิสาหกิจจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อระบบประยุกต์ของแต่ละ
หน้าที่งานเข้ากับระบบสารสนเทศวิสาหกิจ ซึ่งมักเรียกว่า การบูรณาการระบบสารสนเทศ
อีกทั้งยังมีการใช้ระบบประยุกต์ด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การเป็นเครื่องมือ
ช่วยสนับสนุนงานด้านการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทั้งหมดของวิสาหกิจ
มีการใช้แบบจำลองรูปแบบใหม่ในส่วนของคอมพิวเตอร์วิสาหกิจ
นอกจากนี้ Turban et al. (2006, p. 296) ได้ยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกันภายในวิสาหกิจดังนี้
1.ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร
2.ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
3.ระบบสารสนเทศด้านการสนับสนุนการตัดสินใจ
4.ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
5.ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะภาพทางธุรกิจ
6.ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ
ปัจจุบัน
การใช้ระบบสารสนเทศไม่ได้จำกัดแค่ภายในองค์การเท่านั้นยังมีการเชื่อมต่อ
ระบบสารสนเทศระหว่างสององค์การขึ้นไปเข้าด้วยกัน นิยมเรียกกันว่า
ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การหรือโอไอเอส อาจเรียกอีกอย่างว่า ระบบสารสนเทศครอบคลุมทั่วโลก
เช่น ระบบการจองตั๋วของสายการบินทั่วโลกมีวัตถุประสงค์หลักด้านการเพิ่ม
ประสิทธิภาพของการประมวลผลธุรกรรมดังนั้นการพัฒนาโอไอเอสจึงมุ่งตอบสนองแรง
กดดันทางธุรกิจ 2 ประการดังนี้
ประการที่ 1 ความปรารถนาด้านการลดต้นทุน
รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความทันต่อเวลาภายใต้กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ประการที่ 2 ความต้องการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศขององค์การกับระบบสารสนเทศของหุ้นส่วนธุรกิจเพื่อผลประโยชน์
ดังนี้
1. การลดต้นทุนธุรกรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ
2. การเพิ่มคุณภาพและขจัดข้อผิดพลาดของสายงานด้านสารสนเทศ
3. การลดช่วงเวลาของการทำคำสั่งซื้อของลูกค้าให้บรรลุผล
4. การกำจัดกระบวนการที่ใช้กระดาษทั้งในส่วนของการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ
ตลอดจนการลดต้นทุนกระดาษ
5 การโอนย้ายและการประมวลผลสารสนเทศทำได้ง่ายขึ้น
6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับลูกค้าและผู้จัดหา
ในการติดตั้งใช้งานไอโอเอส
จะต้องมีการสร้างเครือข่ายการสื่อสารโดยอาจเลือกใช้เครือข่ายส่วนตัว
ในรูปแบบของเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม หรือเครือข่ายสาธารณะในรูปแบบของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้
โดยการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของไอโอเอส มักปรากฏรูปแบบ 8 รูปแบบดังนี้
1.ระบบการค้าธุรกิจสู่ธุรกิจ มักถูกแบ่งออก
เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างองค์การกับหุ้นส่วนธุรกิจ
2.ระบบสนับสนุนการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ คือ ระบบสนับสนุน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการค้าโดยตรง
3.ระบบครอบคลุมทั่วโลก โดยทำการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศของสองบริษัทขึ้นไป
4.การโอนเงินอิเล็กทรอนิคส์ โดยใช้เครือข่ายโทรคมนาคมเพื่อทำการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงินต่าง
5.กรุ๊ปแวร์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสาร
6.การส่งสารแบบรวม เป็นระบบส่งสัญญาทางเดียวที่ใช้เพื่อส่งอีเมล
7.ฐานข้อมูลใช้ร่วมกัน เพื่อลดเวลาในการสื่อสารด้านสารสนเทศระหว่างหน่วยงาน
8.ระบบที่ใช้สนับสนุนบริษัทเสมือนสนับสนุนการทำงานของบริษัทเสมือนดำเนินการตั้งแต่ 2องค์กร
ในส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้สำหรับไอโอเอสจะประกอบด้วย 4 เทคโนโลยี หลัก คือ การสับเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ เอกซ์ทราเน็ต
ภาษาเอกซ์เอ็มแอลและการบริการบนเว็บในส่วนการทำโอโอเอสให้เกิดผลจะมุ่งเน้น
การแลกเปลี่ยข้อมูลของระบบการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจเป็นสำคัญ จำแนกได้เป็น 2 ระบบคือ
1.การจัดการหุ้นส่วนสัมพันธ์ หรือ พีอาร์เอ็ม
โดยมุ่งเน้นในการรับรู้ถึงความต้องการด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับหุ้นส่วนธุรกิจ
มีผลให้การทำงานเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น
2.การพาณิชย์แบบร่วมมือ หรือซีคอมเมิร์ช
คือ รูปแบบหนึ่งของการร่วมมือขององค์การกับหุ้นส่วนธุรกิจในส่วนนอกเหนือจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการ
ช่วยสนับสนุนในส่วนของการสื่อสาร และการใช้สารสนเทศร่วมกัน
ระบบสารสารเทศบนเว็บ
วิวัฒนาการล่าสุดของระบบสารสนเทศตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดด้านสถาปัตยกรรมรับ-ให้บริการ
มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งส่งผลให้องค์การมีข้อได้เปรียบดังนี้
1. ต้นทุนการติดตั้งใช้งานระบบสารสนเทศบนเว็บต่ำกว่าระบบรับให้บริการแบบเดิมโดยใช้เครือข่ายส่วนตัว
2. การแปลงระบบที่มีอยู่เดิมเป็นระบบสารสนเทศบนเว็บทำได้ง่ายและรวดเร็ว
3. ฟังก์ชันการทำงานของระบบสารสนเทศบนเว็บมีมากกว่าฟังก์ชันระบบเดิม
1.อินเทอร์เน็ต
อาจเรียกง่ายๆว่าเน็ต คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยผู้ใช้ที่อยู่ ณ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งๆ
สามารถรับสารสนเทศจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้
หรือในบางครั้งก็อาจคุยโต้ตอบโดยตรงกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านทาง
อินเตอร์เน็ตซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ใช้งานร่วมกันของผู้ใช้งานหลายคนในทางกายภาพ
อินเตอร์เน็ต ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมดของเครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะที่มีอยู่ปัจจุบัน
ในทางเทคนิคสิ่งที่แบ่งแยกอินเตอร์เน็ตกับระบบเครือข่ายอื่นคือ
การใช้ชุดโพรโทคอลทีซีพี/ไอพีและพัฒนาในขั้นต่อไปของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
2.อินทราเน็ต
จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับองค์การและอินเทอร์เน็ต
ซึ่งอินทราเน็ต คือ การใช้เทคโนโลยีเว็บสำหรับการสร้างเครือข่ายส่วนตัว
มักถูกจำกัดใช้งานเฉพาะภายในองค์การโดยใช้เครือข่ายเฉพาะที่หรือระบบแลน
ร่วมกับโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี เพื่อสร้างแบบฉบับของระบบแลนที่มีความสมบูรณ์
ในส่วนของการใช้เกตเวย์ด้านความมั่นคง อินทราเน็ตจะถูกใช้งานในหลากหลายหน้าที่ทางธุรกิจ
สนับสนุนงานด้านการกระจายสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบภายในองค์การ
สามารถใช้ปฏิบัติกิจกรรมของกลุ่มร่วมงานและการแบ่งโครงการที่ถูกกระจายอยู่ภายในองค์การ
3.เว็บศูนย์รวมวิสาหกิจ
เว็บศูนย์รวมวิสาหกิจ คือ
เว็บไซต์ที่ติดตั้งเกตเวย์
เพื่อใช้ควบคุมการเข้าถึงสรสนเทศของบริษัทจากจุดเพียงจุดเดียว
มีการรวมตัวกันจากสารสนเทศจากหลายๆ แฟ้มข้อมูลและส่งผ่านสารสนเทศไปยังผู้ใช้มักจะถูกกล่าวถึงฐานะของกระบวนการหลัก
4. เอกซ์ทราเน็ต
ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
มีการเสริมกลไลด้านความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ตและฟังก์ชันงานเท่าที่เป็นไป ได้
มีการสร้างรูปแบบเสมือนจริงซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ทางไกลสามารถเชื่อมต่อระบบ
อินเทอร์เน็ตกับอินทราเน็ตหลักขององค์การ
ซอฟว์แวร์ที่ใช้เข้าถึงข้อมูลทางไกลจะมีการพิสูจน์ตัวจริงและข้อมูลจะถูก
เข้ารหัสลับขณะที่มีการส่งผ่านผู้ใช้ทางไกลเข้าสู่อินทราเน็ตจะมุ่งเน้นใน
ด้านการใช้สารสนเทศร่วมกันระหว่างสององค์การขึ้นไปตามสมัยนิยมรูปแบบด้านอีคอมเมิร์ซ
5. ระบบอีคอมเมิร์ชบนเว็บ
อีคอมเมิร์ซเกิดขึ้นภายใต้ระบบอิเลกทรอนิคส์ ในรูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจ
ธุรกิจสู่ผู้บริโภค ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค
ธุรกิจสู่หน่วยสาธารณะส่วนใหญ่จะคิดว่าอีคอมเมิร์ชมีไว้สำหรับลุกค้าเข้าเยี่ยมชมเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์
ภาพส่วนใหญ่ของอีคอมเมิร์ชซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ
การประกอบธุรกรรมในรูปแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ ผู้บริโภคซึ่งทำการซื้อสินค้าออนไลน์มักชื่นชมอีคอมเมิร์ชซึ่งใช้งานได้ง่ายและ
สามารถหลีกเลี่ยงฝูงชนภายในห้างสรรพสินค้า โดยทำการสั่งซื้ออนไลน์ ณ
เวลาใดจากสถานที่ใดก็ได้ อีกทั้งมีการส่งมอบสินค้าถึงมือผู้รับโดยตรง
การประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ชได้เพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าบางรายจะสามารถสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและได้รับสินค้าในวัน
เวลาที่ร้าค้าทั่วไปปิดทำการในส่วนกระบวนการทางธุรกิจอีคอมเมิร์ชต้องออกแบบ
ใหม่ให้เป็นวิธีซื้อขายที่กระชับขึ้น
6. ตลาดอิเกทรอนิคส์
การเข้าถึงข้อมูลได้มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะตัวขับเคลื่อนด้านการประกอบธุรกิจทางอีคอมเมิร์ช
ซึ่ง Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า ตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ
เครือข่ายการโต้ตอบและความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์และบริการ
ตลอดจนการรับชำระเงิน
เมื่อสถานที่ซื้อขายถูกเปลี่ยนรูปแบบจากอาคารทางกายภาพเป็นเว็บไซอิเลกทรอนิคส์
7. การแลกเปลี่ยนอิเลกทรอนิคส์
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ
สถานที่ซื้อขายบนเว็บซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากมีการโต้ตอบกันแบบพลวัตและยังเป็นสถานที่ประกอบการค้าสำหรับโภคภัณฑ์
นับตั้งแต่นั้นมาการแลกเปลี่ยนที่หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าและบริการทุกชนิด
8. คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และการพาณิชย์เคลื่อนทที่
คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ คือ
ตัวอย่างระบบเคลื่อนที่ออกแบบสำหรับลูกจ้างเคลื่อนที่และอื่นๆ
ซึ่งผู้ใช้ระบบมักเกิดความต้องการด้านการเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศขององค์การในทันที
การพาณิชย์เคลื่อนทที่ คือ
การสร้างธุรกรรม ณ สถานที่ใดๆ และเวลาใดก็ได้ภายใต้ระบบสื่อสารไร้สาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น